Stranger Things season 3

season 3 นี้ต้องรับมือกับสัตว์ประหลาด และยังต้องรับมือกับฮอร์โมน วัยว้าวุ่น [ สปอยนิดๆ ]

รีวิว ซีรี่ส์ Stranger Things season 3 เรื่องราวเริ่มต้น 1 ปีหลังจากแอลได้ปิดประตูมิติในห้องทดลองลับของรัฐบาลไป แต่แล้วก็มีคนพยายามเปิดประตูมิติขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ซึ่งตอนจบท้ายสุดของ ซีซั่น 2 ซีรี่ส์ฉายให้เห็นว่าเจ้าปีศาจ Demogorgons บอสใหญ่หรือที่เด็กๆ เรียกว่า “ จอมเปิดโปง ” ยังคงอยู่ในโลกกลับด้าน ที่ซ้อนทับกับเมือง Hawkins เป็นโลกคู่ขนาน ที่รอการกลับมาอีกครั้ง สำหรับภาคนี้ได้พาเรากลับไปยังโลกยุค 80 เหมือนเช่นเคย โดยโฟกัสไปยังช่วงเวลาในปี 1985 ก่อนวันชาติอเมริกา 4 กรกฎาคม ซึ่งเป็นปีที่มีปรากฎการณ์สำคัญอย่างการมาของโค๊กรสใหม่ NewCoke และการมาของห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่รุกเข้าไปยังเมืองเล็กๆ ในอเมริกา ซึ่ง Hawkins เมืองสมมุติในเรื่อง ก็หนีไม่พ้นการมาของห้างยักษ์ใหญ่ สตาร์คอร์ท ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนทุนนิยมสร้างชาติของอเมริกาให้รุ่งโรจน์ แต่อีกด้านก็คือภัยร้าย ต่อเศรษฐกิจของชาวเมือง “ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ” ทำให้ร้านค้าในเมือง Hawkins เดือดร้อนจนต้องปิดตัวลงตามๆกัน หนังใช้การมาห้างสรรพสินค้าเป็นเหมือนการมาของปีศาจ Demogorgons ที่เริ่มครอบงำผู้คนให้ตกเป็นทาสของมันทีละคนๆ ซึ่งสตาร์คอร์ทนี้เองที่เป็นจุดเริ่ม และจุดจบของเนื้อเรื่องหลักในซีซั่นนี้

Stranger Things ซีซั่น 3 ซีรีส์ที่ชาวโลกรอติดตามอย่างใกล้ชิด แอดเองก็รอคอยเช่นกัน นานๆ ทีจะได้ดูซีรีส์ตามกระแสชาวบ้านเค้าบ้าง ปกติดูแต่อะไรที่คุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ก็ดูช้ากว่าชาวบ้านตลอด Stranger Things เป็นซีรีส์ Netflix สัญชาติอเมริกัน แนวทริลเลอร์ไซไฟสยองขวัญ ( เยอะไปไหน ) ปล่อยลงสตรีมมิ่ง ที่ผ่านมา วันอะไรรู้ไหม? วันชาติอเมริกานั่นเอง ซึ่งก็ไปพ้องกับช่วงเวลาในเนื้อหาหนังพอดี คือช่วงฤดูร้อนปี 1984-85 ( แต่เมื่อดูหนังไปสักพัก จะเริ่มสงสัยว่าการปล่อยซีรีส์ ในวันชาติอเมริกานี่ มีนัยยะอื่นแอบแฝงไหม เมื่อเจอว่าในซีรีส์มีชาวรัสเซียเป็นผู้ร้าย )

ซีซั่น 3 นี้ ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือเหล่านักแสดงเด็กๆ นั้นโตขึ้นมากแล้ว โดยเฉพาะเด็กผู้ชายที่ตัวยืดเสียงแตกกันจนจำเค้าเสียงเดิมไม่ได้ คงเพราะแบบนี้พล็อตเรื่องเลยเริ่มสอดแทรกความเป็น coming-of-age หรือช่วงเปลี่ยนผ่านวัยเข้ามา เช่น เรื่องความรักและมิตรภาพ สิ่งดังกล่าวถือได้ว่าเป็นรสชาติใหม่ๆ ของซีรีส์เรื่องนี้ เพราะก่อนหน้านี้แม้จะมีโมเม้นต์หวานๆ ของแอลกับไมค์อยู่บ้าง แต่ก็น้อยมาก และเป็นเหมือนการปูทางมาภาค 3 มากกว่า แต่ก็ไม่นึกเหมือนกันว่าเปิดตัวภาค 3 มาทั้งคู่จะจูบดูดดื่มและใกล้ชิดกันไวขนาดนั้น

ไมค์กับแอลคือตัวแทนของเด็กวัยรุ่น ที่ฮอร์โมนเริ่มพุ่งพล่าน เอะอะเดี๋ยวกอดเดี๋ยวจูบ เล่นเอาเซอร์ไพรส์ ไปหลายยกเพราะไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ ( พวกเธออย่าเพิ่งโตได้ไหม ) ช่วงแรกๆ พล็อตก็มีความกุ๊กกิ๊กพ่อแง่แม่งอน เป็นอะไรที่แปลกตามากสำหรับซีรีส์ เพราะมันไม่เคยมีองค์ประกอบแบบนี้มาก่อน ดูไปแล้วก็ขำๆ ดีแหละ แต่บางคนอาจจะรำคาญในความไร้เหตุผลของตัวละครบ้าง และเพราะมันกินเวลาจากพล็อตหลักไปพอสมควร

ถึงอย่างนั้น เราก็รู้สึกว่าประเด็นนี้คุ้มค่าที่จะเล่น เราจะได้เห็นความ “ ลูกสาวข้า ใครอย่าแตะ ” ของนายตำรวจฮอปเปอร์ เราจะได้เห็นแอลใช้พลังพิเศษเพื่อสอดแนมไมค์ล้วนๆ เราจะได้เห็นแอลและไมค์ ระหองระแหงกันเพราะไมค์โกหก และเราจะได้เห็นชีวิตของไมค์และแอลในฐานะวัยรุ่นวุ่นรักคู่หนึ่ง ที่พยายามปรับตัวเข้าหากัน พยายามคืนดีกันแบบเกร็งๆ และพยายามเข้าใจซึ่งกัน และต้นตอของสัตว์ประหลาดรอบนี้ ก็ถูกเฉลยตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วละ เมื่อกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย ทำการทดลองเพื่อพยายามเปิดประตูมิติ ซึ่งตัวละครต่างก็นึกว่าถูกปิดไปแล้ว สัตว์ประหลาดรอบนี้มาในรูปแบบเมือกสีเลือดๆ ที่สามารถแยกร่างหรือรวมร่างกันก็ได้ สามารถเข้าไปสิงในคนหรือสัตว์ก็ได้ เวลาคนหรือสัตว์ตาย ก็จะกลายเป็นเมือกๆ อีกครั้งหนึ่ง ความแหวะให้เต็มสิบ

การปะทะกันระหว่างเดอะแก๊งกับสัตว์ประหลาด ส่วนใหญ่ก็ใช้มุกเดิมนั่นก็คือแอล เด็กสาวผู้มีพลังวิเศษเพียงหนึ่งเดียว แต่ดูเหมือนรอบนี้คนเดียวไม่พอจริงๆ เพราะสัตว์ประหลาดดุมาก เราจึงจะได้เห็นสมาชิกร่วมทีมคนอื่นๆ ช่วยแบกรักภาระของแอลไปบ้าง แม้ว่าจะไม่ได้มีพลังวิเศษก็ตาม เป็นอะไรที่ชื่นใจดี โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่แอลตกที่นั่งลำบาก แล้วทุกคนก็ช่วยกันโยนพลุไฟใส่สัตว์ประหลาด ร่วมมือร่วมใจกันดีมาก

สรุปแล้วก็คงไม่แปลกใจถ้าใครดูแล้วจะเกิดอาการ “ ดูแค่ตอนเดียวไม่เคยมีอยู่จริง ” เพราะมันเต็มไปด้วยปริศนาที่น่าติดตาม บทที่มีลูกเล่นแบบซีรีส์ดูเอาบันเทิงก็ถือว่ามาครบรสได้ดีเลยล่ะ แต่แอบคิดนิดนึงว่าทำไมซีซันนี้ เลือกพรีเมียร์วันชาติสหรัฐอเมริกา แถมใครได้ดูยังจะเห็นว่าศัตรูตัวฉกาจในเรื่องเป็นรัสเซียอีก รับชมได้แล้วบน Netflix แอดนี้นั้งรอ นอนรอ ตีลังการอ ซีซั่น 4 ใจจะขาด

ติดตามรีวิวภาพยนตร์ ได้ที่ : รีวิว Netflix

ติมตามเพจได้ที่ : มูฟวี่ Up2You